วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ช่ะ ช่ะ ช่า ( CHA CHA CHA )




ช่ะ ช่ะ ช่า   ( CHA CHA CHA ) 


การเต้นรำจังหวะช่ะ ช่ะ ช่า

            ในบรรดาจังหวะเต้นรำแบบละตินอเมริกันที่มีอยู่ด้วยกัน 5 จังหวะนั้น    ช่ะ ช่ะ ช่า เป็นจังหวะเต้นรำที่มีกำเนิดหลังสุด กล่าวคือเป็นจังหวะที่รับการพัฒนามาจากจังหวะแมมโบ้   ซึ่งอดีตเรียกชื่อจังหวะนี้เต็มๆ ว่า แมมโบ้ ช่ะ ช่ะ ช่า   ต้นกำเนิดมาจากคิวบันการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอิทธิพลของดนตรีที่พัฒนาไป ทำให้การเต้นรำพัฒนาตามไปด้วย
            ต้นกำเนิดของ ช่ะ ช่ะ ช่า เริ่มในปี ค.ศ. 1950   ขณะที่ดนตรีของคิวบันได้รับความนิยมอยู่ในอังกฤษนั้นได้มีเพลงจังหวะสวิง   ซึ่ง เกิดใหม่และนิยมกันมากเข้ามามีบทบาทแทรกแซงผสมผสานกับดนตรีของคิวบัน ทำให้เพลงของคิวบันที่เคยมีลักษณะนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น เครื่องดนตรีที่ใช้เคาะจังหวะเริ่มเล่นพลิกแพลงผิดเพี้ยนออกไป เริ่มเคาะให้ไม่ลงจังหวะ ( OFF BEAT )  สไตล์ของดนตรีที่พัฒนามานี้จึงได้ชื่อว่า แมมโบ้ และมีการสาธิตเต้นรำจังหวะแมมโบ้ ในการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับการเต้นรำ  แบบบอลรูมที่แบลคพูลประเทศอังกฤษ        
           
            แมม โบ้ได้รับความนิยม ทั้งเพลงและการเต้นอย่างมากในอเมริกาและยุโรป ต่อมาแมมโบ้ได้พัฒนาจากที่เคยเร็วให้ช้าลงสำหรับการเต้นจากแมมโบ้ที่เคยเต้น เดินหน้า 3 ก้าวและถอยหลัง 3 ก้าวก็เพิ่มการชิดเท้าไล่กันไปข้างหน้า 2 ก้าว และชิดเท้าไล่กันไปข้างหลัง 2 ก้าว ซึ่งเป็นรูปแบบของ ช่ะ ช่ะ ช่า ในปัจจุบันที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก
            การเต้นรำจังหวะ ช่ะ ช่ะ ช่า นี้ได้เข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2498 โดยชาวฟิลิปปินส์ ชื่อ มิสเตอร์เออร์นี่
นักดนตรีของวง
ซีซ่า วาเลสโก ได้ นำลีลาการเต้น ช่ะ ช่ะ ช่า และการเขย่ามาลากัส (ลูกแซ็ก) มาประกอบเพลงเข้าไปด้วย ซึ่งลีลาการเต้นนี้เป็นที่ประทับใจบรรดานักเต้นรำและครูสอนลีลาศทั้งหลาย จึงได้ขอให้มิสเตอร์เออร์นี่สอนให้ การเต้น ช่ะ ช่ะ ช่า ตามแบบของมิสเตอร์เออร์นี่จึงถูกถ่ายทอดและมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าในภายหลังได้มี
การนำรูปแบบการเต้นที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลเข้ามาแทน ที่แล้วก็ตาม
บีกิน ( BEGUINE  )

การเต้นรำจังหวะบีกิน


          บีกินเป็นจังหวะลีลาศประเภทเบ็ดเตล็ด (POP AND SOCIAL DANCES)  ที่ ปัจจุบันนิยมเต้นกันเฉพาะงานสังคมลีลาศทั่ว ๆ ไปในประเทศไทย ไม่นิยมเต้นกันในต่างประเทศ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าคนไทยเรานิยมเต้นรำจังหวะบีกินมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่พอจะทราบได้คือ  ในช่วงเวลาที่ครูอัตถ์ พึ่งประยูร  บรมครูสอนลีลาศคนหนึ่งของไทยที่เต้นรำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2492 หรือ 2493 นั้นก็มีการเต้นรำจังหวะบีกินกันแล้ว โดยเข้าใจกันว่าชาวฟิลิปปินส์ที่มาเล่นดนตรีในเมืองไทยเป็นผู้แนะนำดนตรีและการนับจังหวะ

สมาชิกในกลุ่ม !
1. นายกษิดิ์เดช    ชลชลาธาร     เลขที่  20
2. นางสาวพิมพ์พริสร
   ทรัยพ์สมปอง     เลขที่  21
3. นางสาวภัทราพร
   วงศ์สถาพรพัฒน์   เลขที่  23
4. นายณิชชา    แซ่โค้ว      เลขที่  24
5. นายปกรณ์
    อ่อนเจริญ    เลขที่  26
6. นายธเนศ
    ธัญธนกิจ    เลขที่  27
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6/6




วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
กระบวนการสร้างเสริม และดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบต่อมไร้ท่อ
สาระสำคัญ
                อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคนเราจะทำงานกันเป็นระบบโดยจะทำงานสัมพันธ์กัน ทุกระบบมีความสำคัญต่อร้างกายเราทั้งสิ้น ถ้าเกิดระบบใดทำงานงานผิดปกติก็จะส่งผลไปยังระบบอื่นๆด้วย เราจึงควรรู้จักป้องกันละบำรุงรักษาอวัยวะต่างๆในทุกระบบ ให้สมบูรณ์แข็งแรงและทำงานได้ตามเป็นปกติ จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบต่อมไร้ท่อ ต่างมีความสำคัญโดยระบบประสาทจะช่วยควบคุมการทำงานของร่างกาย ระบบสืบพันธุ์ช่วยสืบทอดเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ต่อไป และระบบต่อมไร้ท่อผลิตฮอร์โมนไปตามกระแสเลือดไปสู่อวัยวะเป้าหมายเพื่อทำหน้าที่ควบคุมการททำงานของระบบต่างๆ
                ร้างกายของมนุษย์จะประกอบด้วยเซลล์ มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันเป็นจำนวนนับล้านๆเซลล์ กลุ่มเซลล์ที่มารวมกันจะทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เรียกว่า เนื้อเยื้อ เนื้อเยื่อมารวมกันทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่า อวัยวะ อวัยวะหลายๆอวัยวะทำงานประสานกันเกิดเป็น ระบบ ที่สำคัญต่างๆในร่างกาย ระบบต่างๆในร่างกายจะทำหน้าที่แตกต่างกัน แต่ต้องทำงานสอดคล้องสัมพันธ์กับร่างกายถึงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ
ความสำคัญ และหลักการของกระบวนการสร้างเสริม และดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย 
                มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของอวัยวะต่างๆทั้งภายในและภายนอกร่างกาย การแบ่งส่วนประกอบของร่างกายออกเป็นระบบต่างๆจะช่วยให้เข้าใจการทำงานของระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้องงายขึ้น ระบบต่างๆในร่างกายต้องพึ่งพาและทำงานสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นระบบทุกระบบในร่างกายต้องทำงานสัมพันธ์กัน หากมีอวัยวะหรือระบบใดทำงานผิดปกติ ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ
หลักของกระบวนการสร้างเสริมและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆมีแนวทางในการปฏิบัติ ดังนี้
1.รักษาอนามัยส่วนบุคคล                                                    6.หลีกเลี่ยงอบายมุขและสิ่งเสพติดให้โทษ
2.บริโภคอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสม                            7.ตรวจเช็คร่างกาย
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4.พักผ่อนให้เพียงพอ
5.ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส

ระบบประสาท
                ระบบประสาทแบบออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทส่วนปลาย
1.ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานทั้งหมด
                สมอง เป็นอวัยวะที่สำคัญและมีขนาดใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ สมองแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ 1.ชั้นมีสีเทา เรียกว่า
เกรย์แมตเตอร์  2.ส่วนชั้นในมีสีขาว เรียกว่า ไวท์ แมตเตอร์  สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนท้าย
                ไขสันหลัง เป็นส่วนที่ต่อจากสมองลงไปตามแนวช่องกระดูกสันหลัง โดยเริ่มจากกระดูกสันหลังไปจนถึงกระดูกบั้นเอว ซึ่งมีความยาวประมาณ 2 ใน 3 ของความยาวของกระดูก
2.ระบบประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบด้วย เส้นประสาทสมอง เส้นประสาทไขสันหลัง และประสาทระบบอัตโนมัติ ระบบประสาทส่วนปลายจะทำหน้าที่นำความรู้สึกจากส่วนต่างๆของร่างกายเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางไปยังอวัยวะปฏิบัติงาน
                1.เส้นประสาทสอง มีอยู่ 12 คู่ ทอดมาจากสมองผ่านรูต่างๆของกะโหลกศีรษะไปเลี้ยงบริเวณศีรษะและลำคอเป็นส่วนใหญ่
                2.เส้นประสาทไขสันหลัง มีอยู่ 31 คู่ ออกจากไขสันหลังเป็นช่วงๆผ่านรูระหว่างกระดูกสันหลังไปสู่ร่างกาย แขน และขา
                3.ประสาทระบบอัตโนมัติ ประสาทระบบอัตโนมัติ เป็นระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะที่อยู่นอกอำนาจของจิตใจโดยไม่รู้สึกตัว
การทำงานของระบบประสาท
                ระบบประสาทเป็นระบบที่ทำงานประสานกันกับระบบกล้ามเนื้อ เช่น ขณะที่นักเรียนอ่านเนื้อหาของบทเรียนอยู่นั้น ระบบประสาทในร่างกายของนักเรียนกำลังแยกการทำงานอย่างหลากหลาย โดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที
การบำรุงรักษาระบบประสาท
1.ระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะ
2.ระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางสมอง
3.หลีกเลี่ยงยาชนิดต่างๆที่มีผลต่อสมอง
4.พยายามผ่อนคลายความเครียด
5.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ระบบสืบพันธุ์
                ระบบสืบพันธุ์ เป็นระบบที่เกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนของสิ่งมีชีวิตให้มากขึ้นตามธรรมชาติ และเป็นการทดแทนสิ่งมีชีวิตรุ่นเก่าที่ตายไป เพื่อให้ดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ได้ ซึ่งการสืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ต้องอาศัยอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย         ประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้                1.อัณฑะ 2.ถุงหุ้มอัณฑะ 3.หลอดเก็บตัวอสุจิ 4.หลอดนำตัวอสุจิ 5.ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ 6.ต่อมลูกหมาก 7.ต่อมคาวเปอร์
                เพศชายจะเริ่มสร้างตัวอสุจิเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุประมาณ 12-13 ปี และจะสร้างไปจนตลอดชีวิต การหลั่งน้ำอสุจิแต่ละครั้งจะมีของเหลวประมาณ 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีตัวอสุจิเฉลี่ยประมาณ 350-500 ล้านตัว
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง        ประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้ 1.รังไข่ 2.ท่อนำไข่ 3.มดลูก 4.ช่องคลอด
การบำรุงรักษาระบบสืบพันธุ์
1.ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ
2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3.งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
4.พักผ่อนให้เพียงพอ
5.ทำความสะอาดร่างกายอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ
6.สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด
ระบบต่อมไร้ท่อ
                ระบบต่อมไร้ท่อ เป็นระบบที่ผลิตสารที่เรียกว่า ฮอร์โมน เป็นต่อมที่ไม่มีท่อหรือรูเปิด จึงลำเลียงสารเหล่านั้นไปตามกระแสเลือดไปสู่อวัยวะเป้าหมาย ถ้าปริมาณฮอร์โมนมีมากหรือน้อยเกินไปจะทำให้เกิดโรคต่างๆขึ้นได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคคอพอก หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของร่างกาย เป็นต้น
ต่อมไร้ท่อในร่างกายมีดังนี้ 1.ต่อมใต้สมอง 2.ต่อมหมวกไต 3.ต่อมไทรอยด์ 4.ต่อมพาราไทรอยด์ 5.ต่อมที่อยู่ใต้ตับอ่อน 6.รังไข่ 7.ต่อมไทมัส
การบำรุงรักษาระบบต่อมไร้ท่อ
1.เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาครบทั้ง 5 หมู่
2.ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4.ลดปริมาณเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
5.หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ
6.พักผ่อนให้เพียงพอ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดในเชิงบวกมากๆ