วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์


โรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์
โรคอ้วน (OBESITY)
โรคอ้วน คือ อะไร ?
ความอ้วนในที่นี้หมายถึง ความอ้วนที่มากเกินไป มีน้ำหนักตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น
ไม่ใช่อ้วนกำลังดี อ้วนพองามหรือกำลังสวย คำว่า อ้วนตามความหมายของพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง มีเนื้อและไขมันมาก โต อวบ ซึ่งเป็นความหมายที่ไม่น่า
ปรารถนาของคนทั่ว ๆ ไป ถ้าคุณถูกทักว่า ดูคุณอ้วนขึ้นนะ ทำไมเดี๋ยวนี้อ้วนจังคุณก็คง
ไม่ค่อยจะพอใจนัก
                 “คนอ้วนหรือคนที่เป็นโรคอ้วนนั้น หมายถึง ผู้ที่มีปริมาณไขมันอยู่ในร่างกายมากกว่าเกณฑ์ปกติ ซึ่งตามหลักสากลกำหนดว่า

               ผู้ชาย ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 12 – 15 ของน้ำหนักตัว
               ผู้หญิง ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 18 – 20 ของน้ำหนักตัว
ซึ่งในการตรวจหาปริมาณไขมันนี้ต้องทำในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นวิธีที่ยุ่งยากอยู่ไม่น้อย
ทีเดียว

               โรคอ้วน หมายถึง สภาวะที่ร่างกายเรามีไขมันสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ มากเกินไปนั่นเอง
จะทราบได้อยางไรว่า ท่านอ้วนเกินไปหรือไม่ แต่ก่อนเราใช้วิธีง่ายๆเช่น การเอาส่วนสูงเป็นเซนติเมตรลบด้วย 110 ในผู้หญิง จะได้น้ำหนักที่เหมาะสม
                แต่วิธีนี้ยังไม่ละเอียดเท่าที่ควร ปัจจุบันเราวัดค่าที่เรียกว่า "ดรรชนีมวลของร่างกาย" หรือ
Body Mass Index เรียกย่อ ๆ ว่า "BMI"
ความอ้วน   แบ่งแบบง่าย ๆ ได้ 3 ข้อ
   1. ความอ้วนที่เกิดจากสาเหตุภายนอก อันเนื่องมาจากตามใจปากมากเกินไป กินมากเกินความต้องการของร่างกาย อาหารที่คุณกินเนื้อ ไขมัน หรือแป้ง สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกาย ถ้ามีมากเกินไปก็จะกลายเป็นไขมันพอกพูนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
     2. ความอ้วนที่มาจากสาเหตุภายใน พบได้จากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ทำให้มีไขมันตามบริเวณต้นแขน ต้นขา และ
หน้าท้อง
     3. อ้วน เพราะกรรมพันธุ์ในหญิงหรือในชายแล้วใครจะอ้วนกว่าใคร ?

วิธีลดความอ้วน
1. การควบคุมอาหาร ได้แก่ การลดปริมาณอาหาร และการเลือกชนิดของอาหารให้เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอายุ 20-29 ปี ทำงานนั่งโต๊ะ จะต้องการพลังงานวันละประมาณ 1,800 กิโลแคลอรี่ หากรับประทานมากกว่านี้ก็จะเหลือสะสมไว้ในร่างกาย ถ้ารับประทานน้อยลง ร่างกายก็จะดึงไขมันที่สะสมไว้มาใช้ โดยปกติการลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ร่างกายจะต้องมีการเผาผลาญพลังงานถึง 7,700 กิโลแคลอรี่ ดังนั้น หากผู้หญิงอายุ 20-29 ปี ต้องการลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัมใน 10 วัน จะต้องลดพลังงานอาหารที่รับประทาน ให้เหลือเพียง 1,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน การลดน้ำหนักไม่ใช่ทำรวดเร็วทันใจ เช่น ลด 1 ก.ก. ใน 2 วันได้ หากลดเร็วขนาดนี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่ไขมันที่สูญเสียไป หากแต่เป็นการเสียน้ำชั่วคราวเท่านั้น พอดื่มน้ำเข้าไปใหม่ก็จะหนักเท่าเดิม ไม่มีประโยชน์อะไร
2. การออกกำลังกาย วิธีที่ถูกต้องนั้นควรยึดหลัก 3 ข้อด้วยกัน
                 2.1 Intensity คือ ความเหมาะสมในการออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่จะให้ผลในแง่เผาผลาญพลังงานจากร่างกาย นั้นควรออกกำลังกาย โดยให้หัวใจมีอัตราการเต้นในเกณฑ์เป้าหมาย
(Target Heart Rate) คือ จาก 220 อายุเท่ากับอัตรา การเต้นของหัวใจสูงสุดสำหรับคนทั่วไป อัตราการเต้นของหัวใจตามเป้าหมาย ควรจะเป็น 60% - 80% ของอัตราการเต้น ของหัวใจสูงสุดในคนปกติ
คนอายุ 30 ปี จะออกกำลังการให้ได้ผลดี ควรให้มีอัตราการเต้นของหัวใจระหว่าง = 60% - 80 % ของ 90 (220-30) =114-152 ครั้ง/นาที เป็นต้น
              2.2 Duration คือ ระยะเวลาในการออกำลังกาย หากต้องการให้มีการใช้ไขมันที่สะสม อยู่ในร่างกาย ควรออกกำลังกาย Target Heart นาน 20 นาทีติดต่อกัน แต่ถ้าหากไม่มีเวลาจริง ๆ อาจใช้เวลาออกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็น ครั้งละประมาณ 10 นาที เป็นต้น
               2.3 Frequency คือ ความบ่อยในการออกกำลังกายควรให้ได้ 3 ครั้ง/สัปดาห์ จึงจะได้ผลดี การออกกำลังกายถ้าจะให้ได้ผลดีนั้น ต้องทำได้ทุกวันจะดีมาก เพียงปลีกเวลาวันละนิด สำหรับสุขภาพของคุณเอง หรืออย่างน้อยควร จะมีเวลาให้อาทิตย์ละ 3 วัน ระยะเวลาของการออกกำลังกาย อย่างต่ำครั้งละ 30 นาที จะได้ผลน้อยแต่ถ้าเกิน 1 ชั่วโมง ก็ถือว่ามากเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ และอ่อนเพลียมากเกินไป แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้เคยออกกำลังมาก่อน ควรจะเริ่มจากน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลานานขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ 30 นาที เพราะผู้ที่ออกกำลังใหม่ ๆ สภาพร่างกายอาจจะยังไม่แข็งแรง และยังไม่คุ้นกับการออกกำลังนาน ๆ การออกกำลังกายจะมากน้อยแค่ใหน วัดจากชีพจร การวัดการเต้นของชีพจร เราสามารถวัดได้จาการจับชีพจรการเต้นของเส้นเลือดดำ ที่ข้อมือด้านในทั้งสองข้าง เวลาเราอยู่เฉย ๆ หัวใจของคนเราจะเต้นประมาณ 70 - 80 ครั้ง/นาที แต่ถ้าเวลาออกกำลังกายหัวใจก็จะเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ตามความแรงของการออกกำลังกายนั้น ดังนั้นเราจึงใช้อัตราการเต้นของหัวใจ เป็นตัววัดว่าควรจะออกกำลัง มากน้อยแค่ใหน
                     การออกกำลังกายที่เหมาะสมนั้นคือ การที่สามารถบริหารหัวใจ ให้เต้นเร็วประมาณ 70 - 80% ของอัตราเต้นสูงสุดของหัวใจ ของคนอายุนั้น จึงจะได้ประโยชน์ในการออกกำลังกาย หากหัวใจเต้นเร็ว 85% ของอัตราเต้นสูงสุดของหัวใจก็เสี่ยงที่จะ เป็นอันตรายได้ ดังนั้นอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสมขณะออกกำลังกาย คือ ประมาณ 75% ของอัตราเต้นสูงสุดของหัวใจ คน ๆ นั้น 
3. การปรับพฤติกรรม เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงนิสัยส่วนตัวบางอย่าง อันได้แก่ การพิจารณาเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ โดยศึกษาให้รู้ถึงประโยชน์และโทษของอาหารแต่ละชนิด ไม่ใช่ว่าให้งดรับประทานข้าวขาหมู เพราะกำลังลดน้ำหนักอยู่ แต่งดรับประทานเพราะเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงต่างหาก 

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มาออกกำลังกายกันเถอะ


มาออกกำลังกายกันเถอะ

การออกกำลังกาย หมายถึง กิจกรรมที่ช่วยสร้างเสริมให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนโลหิต รวมทั้งสร้างเสริมทักษะทางกีฬา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันโรคต่างๆได้อีกด้วย



การอบอุ่นร่างกาย
การอบอุ่นร่างกายเราต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 นาที
การอบอุ่นร่างกายจะทำให้เราไม่ปวดกล้ามเนื้อและเป็นตะคริว
การอบอุ่นร่างกายเราควรทำตอนก่อนออกกำลังกายและหลังออกกำลังกาย


รูปแบบการออกกำลังกาย
      มีหลากหลายชนิดเช่น วิ่งเหยาะ, เดินเร็ว, ขี่จักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้นแอโรบิค, ฟุตบอล, บาสเก็ตบอล, เทนนิส, แบดมินตัน, ตระกร้อข้ามตาข่าย, วอลเลย์บอล  เป็นต้น


ประโยชน์ของการเล่นกีฬา
1. ช่วยทำให้ระบบอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายมีการเคลื่อนไหว แข็งแรง คงทน และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และอดทนยิ่งขึ้น
2. ทำให้ทรวดทรงสง่างาม
3. ทำให้ร่างกายมีการพัฒนาการตามวัยและแข็งแรง
4. ทำให้จิตใจแจ่มใส
5. ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด ปอด หัวใจทำงานดีขึ้น เพื่อป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และช่วยให้ไม่เป็นลมหน้ามืดง่าย
6. ช่วยผ่อนคลายความเครียด ไม่ซึมเศร้า ไม่วิตกกังวล สุขภาพจิตดีขึ้น และนอนหลับสบาย
7. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
8. ควบคุมน้ำหนักตัว


วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554


ภูมิปัญญาไทย

ภูมิปัญญา   ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะความเชื่อ และศักยภาพในการแก้ปัญหาของมนุษย์ที่สืบทอดกันมาจากอดีตถึงปัจจุบันอย่างไม่ขาดสายและเชื่อมโยงกันทั้งระบบทุกสาขา

          ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะและเทคนิคการตัดสินใจ ผลิตผลงานของบุคคล อันเกิดจากการสะสมองค์-ความรู้ทุกด้านที่ผ่านกระบวนการสืบทอด พัฒนาปรับปรุง และเลือกสรรมาแล้วเป็นอย่างดีสามารถแก้ไขปัญหา และพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัย
          ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวบ้านคิดขึ้นได้เองและนำมาใช้ในการแก้ปัญหา เป็นเทคนิควิธี เป็นองค์ความรู้ของชาวบ้าน ทั้งทางกว้างและทางลึกที่ชาวบ้านคิดเอง ทำเอง โดยอาศัยศักยภาพที่มีอยู่แก้ปัญหาการดำเนินชีวิตในท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัยความเหมือนกันของภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ เป็นองค์ความรู้ และเทคนิคที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ซึ่งได้สืบทอดและเชื่อมโยงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างภูมิปัญญาไทยที่ควรรู้
-                   ด้านภาษา และวรรณกรรม ได้แก่ สุภาษิต คำพังเพย เพลงพื้นบ้าน ปริศนาคำทายต่างๆ
-                    ด้านประเพณี ได้แก่ กิจกรรมที่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ชุมชน โดยการแสดงออกทางประเพณีพื้นบ้าน การละเล่นพื้นบ้านในท้องถิ่นต่างๆ เช่น การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ การทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา ประเพณีวันลอยกระทง วันเข้าพรรษา วันสงกรานต์ การละเล่นพื้นบ้านในแต่ละท้องถิ่น เช่น การระบำรำฟ้อนประเภทต่างๆ เซิ้ง กลองยาว เพลงอีแซว หมอลำ มโนราห์ ซึ่งแต่ละท้องถิ่นจะมีความแตกต่างกัน
-                    ด้านศิลปวัตถุและศิลปกรรม ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่างๆ การทำเครื่องปั้นดินเผาไปแกะสลัก หนังตะลุง เป็นต้น


ความสำคัญของภูมิปัญญาไทยกับการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชน 
            ทุกชุมชนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ทั้งประเพณี วัฒนธรรม และวิถีการดำเนินชีวิตซึ่งเอกลักษณ์ดังกล่าวได้ดำเนินขึ้นและสืบทอดโดยคน รุ่นก่อนในชุมชน มีการสั่งสมภูมิปัญญาด้านต่างๆ และผ่านการพัฒนาใช้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรในชุมชน เช่น การแต่งกาย การรับประทานอาหาร การสร้างบ้านเรือน รวมถึงการดูแลรักษาสุขภาพและการบำบัดโรค ซึ่งผ่านการลองผิดลองถูกจนเกิดเป็นปัญญาในการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกัน โรคของชุมชน ตัวอย่างเช่น การรับประทานผักเพื่อบำรุงร่างกาย การรักษาโรคด้วยสุมนไพร การนวดไทยเพื่อบำบัด บรรเทาการเจ็บป่วย การประคบสมุนไพรรักษาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก หรือการอยู่ไฟเพื่อส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพของผู้หญิงหลังคลอดบุตร เป็นต้น
        ภูมิปัญญาไทยจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพในเรื่องของการบำบัด บรรเทา รักษาป้องกันโรคและการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน ให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง นอกจากภูมิปัญญาทางการแพทย์ของคนไทยจะช่วยส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีแล้วยัง ช่วยลดปัญหาสาธารณสุขของประเทศชาติได้ โดยช่วยรัฐบาลลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ลดการนำเข้ายารักษาโรค เวชภัณฑ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์จากต่างประเทศที่เกินความจำเป็นให้ลดน้อยลง ซึ่งผลดีดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อคนไทยในชุมชนหรือท้องถิ่นต่างๆ รู้จักประยุกต์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนของตนเองมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในการรักษาดูแลสุขภาพ รวมถึงการพึ่งพาภูมมิปัญญาของแพทย์ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ มาใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด


การแพทย์แผนไทย 
            หมายถึง กระบวนการทางการแพทย์เกี่ยวกับการตรวจ วินิจฉัย บำบัด รักษา การป้องกันโรค หรือการฟื้นฟูสุขภาพการแพทย์แผนไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับชุมชนของตัวเองได้ เช่นการนวดแผนไทย เป็นภูมิปัญญาในการรักษาโรค การนวดไทยแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่
1.  การนวดแบบราชสำนัก
2.  การนวดแบบเชลยศักดิ์
การนวดไทยมีผลดีต่อสุขภาพในหลายๆด้าน เช่น การกระตุ้นระบบประสาท  และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง เป็นต้น
กระประคบสมุนไพร เป็นการใช้สมุนไพรในการฟื้นฟูสุขภาพโดยการนำสมุนไพรมาห่อและนำไปประคบบริเวณที่มีอาการปวดเมื่อย จะสามารถช่วยบรรเทาอาการได้
น้ำสมุนไพร ผักพื้นบ้านและอาหารเพื่อสุขภาพ น้ำสมุนไพร และอาหารช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรงอยู่ในภาวะปกติ โดยเกิดจากความเฉลียวฉลาดของบรรพบุรุษ เช่น น้ำขิงช่วยในการขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
การทำสมาธิ สวดมนต์ และภาวนาเพื่อการรักษาโรค เป็นวิถีชีวิต และความเชื่อ จัดว่าเป็นภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทยซึ่งมีผลต่อสภาพจิตใจเป็นอย่างดี เพราะการนั่งสมาธิ สวดมนต์และการภาวนาช่วยให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์ และทำให้จิตใจเกิดความสงบ
กายบริหารแบบไทย หรือกายบริหารท่าฤาษีดัดตน  เป็นภูมิปัญญาเกิดขึ้นจากการเล่าต่อๆกันมาของผู้ที่นิยมนั่งสมาธิ เมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องจะช่วยรักษาอาการปวดเมื่อย ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดี สร้างสมาธิ และผ่อนคลายความเครียดได้


วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โครงการส่งเสริมการออกกำลังกาย ของผู้สูงอายุ



1.ชื่อโครงการ : โครงการส่งเสริมการออกกำลังกาย ของผู้สูงอายุ

2.หลักการและเหตุผล : โครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มาออกกำลังกายเพื่อดูแลรักษาสุขภาพและต้านทานโรคต่างๆที่จะเข้ามา และยังสามารถใช้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนและพบปะกันของผู้สูงอายุอีกด้วย 
    การจัดโครงการนี้ทำให้ผู้สูงอายุมาออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่างๆด้วย การเข้าร่วมโครงการนี้นอกจากช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นกันมากขึ้นอีกด้วย 

3.วัตถุประสงค์ : 1.ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
                           2.ต้านโรคต่างๆที่จะเข้ามาแทรกแซง
                           3.เพื่อให้ผู้สูงอายุมาพบปะกันและทำกิจกรรมร่วมกัน

4.กลุ่มเป้าหมาย : ผู้สูงอายุที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสถานที่ที่จัดโครงการ ประมาณ 100 - 150 คน

5.วิธีดำเนินการ : 1.สำรวจความต้องการ
                            2.นำความคิดเห็นมาประเมินความต้องการเพื่อที่จะจัดทำโครงการ
                            3.นำข้อมูลที่ประเมินได้ไปยืนเพื่อขอทุนแก่หน่วยงานต่างๆ
                            4.ติดต่อสถานที่ต่างๆและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
                            5.จัดทำโครงการส่งเสริมการออกกำลังกายขอผู้สูงอายุ
                            6.ประเมินผลโครงการและสรุปผลการประเมิน

6.ระยะเวลาในการดำเนินการ : 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2554

7.สถานที่ดำเนินการ : สวนสาธารณะตามสถานที่ต่างๆ เช่น สวนสาธารณะในหมู่บ้าน 

8.งบประมาณ : 50,000 บาท

9.ผลที่คาดว่าจะได้รับ : 1.ผู้สูงอายุสนใจที่จะออกกำลังกายมากขึ้น
                                       2.ผู้สูงอายุสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข

10.ผู้รับผิดชอบโครงการ : นาย ธเนศ  ธัญธนกิจ ม.6/6 เลขที่ 27


วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ช่ะ ช่ะ ช่า ( CHA CHA CHA )




ช่ะ ช่ะ ช่า   ( CHA CHA CHA ) 


การเต้นรำจังหวะช่ะ ช่ะ ช่า

            ในบรรดาจังหวะเต้นรำแบบละตินอเมริกันที่มีอยู่ด้วยกัน 5 จังหวะนั้น    ช่ะ ช่ะ ช่า เป็นจังหวะเต้นรำที่มีกำเนิดหลังสุด กล่าวคือเป็นจังหวะที่รับการพัฒนามาจากจังหวะแมมโบ้   ซึ่งอดีตเรียกชื่อจังหวะนี้เต็มๆ ว่า แมมโบ้ ช่ะ ช่ะ ช่า   ต้นกำเนิดมาจากคิวบันการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอิทธิพลของดนตรีที่พัฒนาไป ทำให้การเต้นรำพัฒนาตามไปด้วย
            ต้นกำเนิดของ ช่ะ ช่ะ ช่า เริ่มในปี ค.ศ. 1950   ขณะที่ดนตรีของคิวบันได้รับความนิยมอยู่ในอังกฤษนั้นได้มีเพลงจังหวะสวิง   ซึ่ง เกิดใหม่และนิยมกันมากเข้ามามีบทบาทแทรกแซงผสมผสานกับดนตรีของคิวบัน ทำให้เพลงของคิวบันที่เคยมีลักษณะนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น เครื่องดนตรีที่ใช้เคาะจังหวะเริ่มเล่นพลิกแพลงผิดเพี้ยนออกไป เริ่มเคาะให้ไม่ลงจังหวะ ( OFF BEAT )  สไตล์ของดนตรีที่พัฒนามานี้จึงได้ชื่อว่า แมมโบ้ และมีการสาธิตเต้นรำจังหวะแมมโบ้ ในการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับการเต้นรำ  แบบบอลรูมที่แบลคพูลประเทศอังกฤษ        
           
            แมม โบ้ได้รับความนิยม ทั้งเพลงและการเต้นอย่างมากในอเมริกาและยุโรป ต่อมาแมมโบ้ได้พัฒนาจากที่เคยเร็วให้ช้าลงสำหรับการเต้นจากแมมโบ้ที่เคยเต้น เดินหน้า 3 ก้าวและถอยหลัง 3 ก้าวก็เพิ่มการชิดเท้าไล่กันไปข้างหน้า 2 ก้าว และชิดเท้าไล่กันไปข้างหลัง 2 ก้าว ซึ่งเป็นรูปแบบของ ช่ะ ช่ะ ช่า ในปัจจุบันที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก
            การเต้นรำจังหวะ ช่ะ ช่ะ ช่า นี้ได้เข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2498 โดยชาวฟิลิปปินส์ ชื่อ มิสเตอร์เออร์นี่
นักดนตรีของวง
ซีซ่า วาเลสโก ได้ นำลีลาการเต้น ช่ะ ช่ะ ช่า และการเขย่ามาลากัส (ลูกแซ็ก) มาประกอบเพลงเข้าไปด้วย ซึ่งลีลาการเต้นนี้เป็นที่ประทับใจบรรดานักเต้นรำและครูสอนลีลาศทั้งหลาย จึงได้ขอให้มิสเตอร์เออร์นี่สอนให้ การเต้น ช่ะ ช่ะ ช่า ตามแบบของมิสเตอร์เออร์นี่จึงถูกถ่ายทอดและมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าในภายหลังได้มี
การนำรูปแบบการเต้นที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลเข้ามาแทน ที่แล้วก็ตาม
บีกิน ( BEGUINE  )

การเต้นรำจังหวะบีกิน


          บีกินเป็นจังหวะลีลาศประเภทเบ็ดเตล็ด (POP AND SOCIAL DANCES)  ที่ ปัจจุบันนิยมเต้นกันเฉพาะงานสังคมลีลาศทั่ว ๆ ไปในประเทศไทย ไม่นิยมเต้นกันในต่างประเทศ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าคนไทยเรานิยมเต้นรำจังหวะบีกินมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่พอจะทราบได้คือ  ในช่วงเวลาที่ครูอัตถ์ พึ่งประยูร  บรมครูสอนลีลาศคนหนึ่งของไทยที่เต้นรำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2492 หรือ 2493 นั้นก็มีการเต้นรำจังหวะบีกินกันแล้ว โดยเข้าใจกันว่าชาวฟิลิปปินส์ที่มาเล่นดนตรีในเมืองไทยเป็นผู้แนะนำดนตรีและการนับจังหวะ

สมาชิกในกลุ่ม !
1. นายกษิดิ์เดช    ชลชลาธาร     เลขที่  20
2. นางสาวพิมพ์พริสร
   ทรัยพ์สมปอง     เลขที่  21
3. นางสาวภัทราพร
   วงศ์สถาพรพัฒน์   เลขที่  23
4. นายณิชชา    แซ่โค้ว      เลขที่  24
5. นายปกรณ์
    อ่อนเจริญ    เลขที่  26
6. นายธเนศ
    ธัญธนกิจ    เลขที่  27
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6/6




วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
กระบวนการสร้างเสริม และดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบต่อมไร้ท่อ
สาระสำคัญ
                อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคนเราจะทำงานกันเป็นระบบโดยจะทำงานสัมพันธ์กัน ทุกระบบมีความสำคัญต่อร้างกายเราทั้งสิ้น ถ้าเกิดระบบใดทำงานงานผิดปกติก็จะส่งผลไปยังระบบอื่นๆด้วย เราจึงควรรู้จักป้องกันละบำรุงรักษาอวัยวะต่างๆในทุกระบบ ให้สมบูรณ์แข็งแรงและทำงานได้ตามเป็นปกติ จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบต่อมไร้ท่อ ต่างมีความสำคัญโดยระบบประสาทจะช่วยควบคุมการทำงานของร่างกาย ระบบสืบพันธุ์ช่วยสืบทอดเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ต่อไป และระบบต่อมไร้ท่อผลิตฮอร์โมนไปตามกระแสเลือดไปสู่อวัยวะเป้าหมายเพื่อทำหน้าที่ควบคุมการททำงานของระบบต่างๆ
                ร้างกายของมนุษย์จะประกอบด้วยเซลล์ มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันเป็นจำนวนนับล้านๆเซลล์ กลุ่มเซลล์ที่มารวมกันจะทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เรียกว่า เนื้อเยื้อ เนื้อเยื่อมารวมกันทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่า อวัยวะ อวัยวะหลายๆอวัยวะทำงานประสานกันเกิดเป็น ระบบ ที่สำคัญต่างๆในร่างกาย ระบบต่างๆในร่างกายจะทำหน้าที่แตกต่างกัน แต่ต้องทำงานสอดคล้องสัมพันธ์กับร่างกายถึงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ
ความสำคัญ และหลักการของกระบวนการสร้างเสริม และดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย 
                มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของอวัยวะต่างๆทั้งภายในและภายนอกร่างกาย การแบ่งส่วนประกอบของร่างกายออกเป็นระบบต่างๆจะช่วยให้เข้าใจการทำงานของระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้องงายขึ้น ระบบต่างๆในร่างกายต้องพึ่งพาและทำงานสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นระบบทุกระบบในร่างกายต้องทำงานสัมพันธ์กัน หากมีอวัยวะหรือระบบใดทำงานผิดปกติ ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ
หลักของกระบวนการสร้างเสริมและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆมีแนวทางในการปฏิบัติ ดังนี้
1.รักษาอนามัยส่วนบุคคล                                                    6.หลีกเลี่ยงอบายมุขและสิ่งเสพติดให้โทษ
2.บริโภคอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสม                            7.ตรวจเช็คร่างกาย
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4.พักผ่อนให้เพียงพอ
5.ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส

ระบบประสาท
                ระบบประสาทแบบออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทส่วนปลาย
1.ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานทั้งหมด
                สมอง เป็นอวัยวะที่สำคัญและมีขนาดใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ สมองแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ 1.ชั้นมีสีเทา เรียกว่า
เกรย์แมตเตอร์  2.ส่วนชั้นในมีสีขาว เรียกว่า ไวท์ แมตเตอร์  สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนท้าย
                ไขสันหลัง เป็นส่วนที่ต่อจากสมองลงไปตามแนวช่องกระดูกสันหลัง โดยเริ่มจากกระดูกสันหลังไปจนถึงกระดูกบั้นเอว ซึ่งมีความยาวประมาณ 2 ใน 3 ของความยาวของกระดูก
2.ระบบประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบด้วย เส้นประสาทสมอง เส้นประสาทไขสันหลัง และประสาทระบบอัตโนมัติ ระบบประสาทส่วนปลายจะทำหน้าที่นำความรู้สึกจากส่วนต่างๆของร่างกายเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางไปยังอวัยวะปฏิบัติงาน
                1.เส้นประสาทสอง มีอยู่ 12 คู่ ทอดมาจากสมองผ่านรูต่างๆของกะโหลกศีรษะไปเลี้ยงบริเวณศีรษะและลำคอเป็นส่วนใหญ่
                2.เส้นประสาทไขสันหลัง มีอยู่ 31 คู่ ออกจากไขสันหลังเป็นช่วงๆผ่านรูระหว่างกระดูกสันหลังไปสู่ร่างกาย แขน และขา
                3.ประสาทระบบอัตโนมัติ ประสาทระบบอัตโนมัติ เป็นระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะที่อยู่นอกอำนาจของจิตใจโดยไม่รู้สึกตัว
การทำงานของระบบประสาท
                ระบบประสาทเป็นระบบที่ทำงานประสานกันกับระบบกล้ามเนื้อ เช่น ขณะที่นักเรียนอ่านเนื้อหาของบทเรียนอยู่นั้น ระบบประสาทในร่างกายของนักเรียนกำลังแยกการทำงานอย่างหลากหลาย โดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที
การบำรุงรักษาระบบประสาท
1.ระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะ
2.ระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางสมอง
3.หลีกเลี่ยงยาชนิดต่างๆที่มีผลต่อสมอง
4.พยายามผ่อนคลายความเครียด
5.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ระบบสืบพันธุ์
                ระบบสืบพันธุ์ เป็นระบบที่เกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนของสิ่งมีชีวิตให้มากขึ้นตามธรรมชาติ และเป็นการทดแทนสิ่งมีชีวิตรุ่นเก่าที่ตายไป เพื่อให้ดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ได้ ซึ่งการสืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ต้องอาศัยอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย         ประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้                1.อัณฑะ 2.ถุงหุ้มอัณฑะ 3.หลอดเก็บตัวอสุจิ 4.หลอดนำตัวอสุจิ 5.ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ 6.ต่อมลูกหมาก 7.ต่อมคาวเปอร์
                เพศชายจะเริ่มสร้างตัวอสุจิเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุประมาณ 12-13 ปี และจะสร้างไปจนตลอดชีวิต การหลั่งน้ำอสุจิแต่ละครั้งจะมีของเหลวประมาณ 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีตัวอสุจิเฉลี่ยประมาณ 350-500 ล้านตัว
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง        ประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้ 1.รังไข่ 2.ท่อนำไข่ 3.มดลูก 4.ช่องคลอด
การบำรุงรักษาระบบสืบพันธุ์
1.ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ
2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3.งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
4.พักผ่อนให้เพียงพอ
5.ทำความสะอาดร่างกายอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ
6.สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด
ระบบต่อมไร้ท่อ
                ระบบต่อมไร้ท่อ เป็นระบบที่ผลิตสารที่เรียกว่า ฮอร์โมน เป็นต่อมที่ไม่มีท่อหรือรูเปิด จึงลำเลียงสารเหล่านั้นไปตามกระแสเลือดไปสู่อวัยวะเป้าหมาย ถ้าปริมาณฮอร์โมนมีมากหรือน้อยเกินไปจะทำให้เกิดโรคต่างๆขึ้นได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคคอพอก หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของร่างกาย เป็นต้น
ต่อมไร้ท่อในร่างกายมีดังนี้ 1.ต่อมใต้สมอง 2.ต่อมหมวกไต 3.ต่อมไทรอยด์ 4.ต่อมพาราไทรอยด์ 5.ต่อมที่อยู่ใต้ตับอ่อน 6.รังไข่ 7.ต่อมไทมัส
การบำรุงรักษาระบบต่อมไร้ท่อ
1.เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาครบทั้ง 5 หมู่
2.ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4.ลดปริมาณเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
5.หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ
6.พักผ่อนให้เพียงพอ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดในเชิงบวกมากๆ